Dimensions
นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันพอจะทราบและมีความรู้บางอย่างแล้ว
เกี่ยวกับเรื่องที่ว่า จักรวาลที่เราอยู่อาศัยและมองเห็นอยู่นี้เป็นเพียง
1 Dimensions(มิติ) หรือ 1 ความถี่จักรวาลเท่านั้น
แท้ที่จริงแล้วในจักรวาลนี้มีหลาย Dimensions(มิติ) อยู่
ซึ่งบางทีซ้อนกันอยู่ อยู่ในสถานที่แห่งเดียวกัน แต่อยู่คนละ
Dimensions กัน
แต่ละ Dimensions มีกฎเกณฑ์ทางฟิสิกส์ที่ต่างกันไป
มีความเจริญทางเทคโนโลยี และสิ่งมีชีวิตที่ต่างกันไป
จากการค้นคว้าแล้วของนักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่ง
เท่าที่พอจะทราบได้มีอยู่โดยประมาณ 11 Dimensions
ที่ตรวจสอบได้
คลื่นแสง คลื่นเสียง คลื่นวิทยุ คลื่นโทรทัศน์มีความถี่
มีความกว้าง Bandwidth ถึงแม้จะส่งสัญญาณผ่านอากาศเดียวกัน
ตรงนี้พิสูจน์ได้ จักรวาลเป็นอีกหนึ่งสสารที่มีความถี่ เรียกว่า
Dimensions ซึ่งซ้อนทับกันอยู่
ตรงนี้จะพิสูจน์ได้ก็เพียงคำบอกเล่าต่อ ๆ
กันมาจากคนบนโลกที่เคยหรือบังเอิญมีประสบการณ์ผ่านเข้าไปยัง
Dimensions อื่น แล้วสามารถกลับมาเล่าเรื่องราวได้
เช่นในประเทศไทยมีเรื่องเล่านานมาแล้วว่ามีคนในอดีตเคยประสบ
ผ่านเข้าไปยังเมืองบังบด เมืองลัับแล
ซึ่งผู้คนในเมืองนี้ดำรงชีวิตได้เช่นเดียวกับคนทั่ว ๆ
ไปแต่ว่ามีความสามารถพิเศษบางอย่างที่คนธรรมดาทำไม่ได้ เช่น
การสื่อสารทางจิต การทราบวาระจิต ฯลฯ
สิ่งนี้พิสูจน์ไม่ได้เป็นเพียงคำพูดคำบอกเล่า
ซึ่งแล้วแต่วิจารณญาณของคนที่ฟัง
แต่ว่าบนโลกของเราใบนี้ Dimensions ที่เราอาศัยอยู่นี้
มีเรื่องเล่าเช่นกันว่า เคยมีคนหรือสิ่งมีชีวิตอื่นที่มาจาก Dimensions
อื่นผ่านเข้ามาได้ยัง Dimensions ของเราอย่างบังเอิญ
ลักษณะเช่นนี้พูดได้ ยืนยันได้
เพราะว่ามีคนพบเห็นและอยู่ในเหตุการณ์เป็นจำนวนมาก
บุคคลที่ว่ามาจากไหนก็ไม่ทราบได้ มักจะมีลักษณะท่าทางแปลก ๆ
พูดจาด้วยภาษาแปลก ๆ หรือมีผิวพรรณ ร่างกายที่ผิดแปลกไป
การรับประทานที่แปลกไปจากบน Dimensions เรานี้
ประมวลเหตุการณ์ในอดีตที่คนในอดีตเคย ๆ
บัันทึกไ้ด้มาถ่ายทอดครับ
The Green Children Of Woolpit
ประมาณ คริสต์ศตวรรษ ที่ 12 หมู่บ้าน Woolpit ตั้งอยู่ในเมือง
Suffolk ภาคตะวันออกของประเทศอังกฤษ
ในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวของปีนั้น ชาวบ้านที่กำลังเก็บเกี่ยวผลผลิตอยู่
พบเจอเด็กสองคน เป็นหญิงและชาย อายุราว 6 - 8 ขวบ
ลักษณะเป็นพี่น้องกัน เด็กผู้หญิงดูเหมือนจะเป็นพี่สาว
เจออยู่ในหลุมดักสุนัขป่า
เขาไม่รู้จักเด็กทั้งสองมาก่อนเพราะว่าเด็กทั้งสองไม่ใช่คนแถว ๆ นี้
และระยะทางที่ใกล้ที่สุดจากเมืองก็ค่อนข้างจะไกล สำหรับเด็กเล็ก ๆ
สองคนที่จะเดินมาในบริเวณนี้
เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของเด็กดูแปลก ๆ
มีสีสันที่แปลกและวัสดุการตัดเย็บที่เฉพาะ
แต่สิ่งที่ดูสะดุดตาที่สุดคือสีผิวของเด็กสองคนนี้
เด็กสองคนนี้มีผิวหนังเป็นสีเขียว
จากการสอบถามแล้วเด็กทั้งสองพูดภาษาบางภาษาที่ฟังไม่ออก
แต่ว่าเด็กทั้งสองดูตื่นกลัวมาก เด็กทั้งสองถูกพาเข้าไปในหมู่บ้าน
จากการสังเกตุแล้วเด็กทั้งสองดูท่าทางอิดโรยและหิวมาก
ซึ่งหญิงในหมู่บ้านก็นำอาหารมาให้รับประทาน
ก็เป็นอาหารทั่วไปที่คนธรรมดาจะทานกันไ้ด้ ก็ืคือ
ขนมปังกับเนื้อสัตว์ เด็กทั้งสองถึงดูจะหิวมากปฎิเสธอาหารนี้
(รับประทานไม่ได้) ซึ่งคนในหมู่บ้านก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
จึงพาเด็กทั้งสองนี้ไปค้างคืนยังยุ้งฉางที่เก็บผลผลิต
ถึงแม้จะถึงรุ่งเช้าแล้วเด็กทั้งสองก็ยังคงปฎิเสธที่จะรับประทาน
อาหารที่ชาวบ้านจัดมาให้
แต่ที่น่าแปลกก็คือเด็กทั้งสองมองเห็นพืชตระกูลถั่วชนิดหนึ่งที่
เก็บอยู่ในยุ้งฉาง
ทั้งสองวิ่งเข้าไปรับประทานอย่างหิวโหยมาก และนอนหลับไป
สุดท้ายแล้ว อาหารจำพวกถั่วที่ว่า
ก็กลายเป็นอาหารหลักของเด็กทั้งสองนี้ไปอีกหลายเดือน
จนกระทั่งสุดท้ายเด็กทั้งสองก็ปรับตัวยอมที่จะรับประทานอาหาร
อย่างที่คนทั่ว ๆ ไปทานกัน ก็สื่อสารด้วยสัญลักษณ์มือกับชาวบ้าน
เด็กชายคนน้องดำรงชีวิตอยู่ไม่นานเสียชีวิตเพราะป่วย
ส่วนเด็กผู้หญิงคนพี่อยู่ได้นาน
และเรียนรู้ที่จะพูดจะใช้ภาษาอังกฤษอย่างที่คนอื่น ๆ พูดกัน
ภายหลังที่พอจะสื่อสารกันได้ เด็กหญิงเล่าว่า
เธอและน้องชายของเธอมาจากสถานที่แห่งหนึ่งเรียกว่า
St. Martin's Land ซึ่งสถานที่แห่งนี้ชาวบ้านแถว ๆ
นั้นไม่เคยได้ยินมาก่อนเช่นกัน สถานที่ที่เธออยู่นี้ไม่เหมือนกับแถว ๆ
นี้เลย เพราะว่ามันเป็นผืนแผ่นดินที่มืด ๆ สลัว ๆ ดวงอาทิตย์ไม่สว่าง
ไม่สว่างอย่างสถานที่แห่งนี้
คนในสถานที่ที่เธออยู่มีสีผิวเป็นสีเขียวทุกคน
ก็คือดำรงชีวิตเฉกเ่ช่นเดียวกันกับคนทั่ว ๆ ไปแถวนี้
รับประทานอาหาร ปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ วันหนึ่ง
เธอกับน้องชายเธอต้อนฝูงสัตว์ไปเลี้ยง
มีแกะตัวหนึ่งหลุดออกจากฝูง
และเดินหายเข้าไปในถ้ำแห่งหนึ่งซึ่งมีน้ำไหล
เธอเดินตามแกะตัวนั้นเข้าไปในถ้ำ เธอได้ยินเสียงแปลก ๆ
คล้ายเสียงระฆังดังออกมาจากในถ้ำ
เธอเดินตามเสียงนั้นเข้าไปเรื่อย ๆ
และสุดท้ายก็มาเจอกับแสงสว่างอย่างชนิดที่จ้ามากและก็พบเห็นคน
นั่นเอง เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าที่นี่เป็นที่ไหน
และก็หาทางกลับบ้านไม่ถูกด้วย
ในหลายสัปดาห์ต่อมาชาวบ้านก็ช่วย ๆ
กันหาสถานที่ที่เธอปรากฎตัวออกมา แต่หาอย่างไรก็หาไม่พบ
เจ้าของที่ดิน Sir Richard de Calne นำเด็กสองคนนี้ไปชุบเลี้ยง
เด็กชายเสียชีวิตเด็กหญิงรอด ต่อมาได้ชื่อว่า Agnes
ผิวพรรณที่ครั้งหนึ่งตอนเด็กเป็นสีเขียวภายหลังเปลี่ยนไปเป็น
สีผิวของคนปกติ อาจจะเนื่องจากการรับประทานอาหารได้
อยู่ในสภาพอากาศ แสง สิ่งแวดล้อม เช่น ๆ เดียวกับคนอื่น
ก็ถูกว่าจ้างให้ทำงานกับเจ้าของที่ดินท่านนี้ ตอนหลังที่เธอโตขึ้น
เธอก็ได้แต่งงานเหมือนหญิงทั่วไปดูเหมือนกับจะได้แต่งงานกับ
เจ้าหน้าที่ระดับสูงของของกษัตริย์เฮนรี่ที่สอง มีบุตรด้วยกัน
เรื่องนี้มีบันทึกลงในสมุดจดหมายเหตุมาหลายร้อยปีเหมือนกัน
คือตั้งแต่ ค.ศ. 1189
ในบันทึกของ William of Newburgh
และในบันทึกของ Ralph of Coggeshall
ชายลึกลับจาก Taured
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ถูกกล่าวขวัญกันมานานพอสมควรครับ
มีบันทึกที่แน่นอน
มีบุคคลอยู่ในเหตุการณ์นี้หลายคนและเป็นเจ้าหน้าที่รัฐด้วยความน่า
เชื่อถือพอดี เรื่องก็มีอยู่ว่า ในเดือน กรกฎาคม ค.ศ.1954
ตรงกับช่วงฤดูร้อนของประเทศญี่ปุ่น ที่สนามบินฮาเนดะ
มีสายการบินของยุโรปแห่งหนึ่งมีเครื่องลงจอดที่สนามบินแห่งนี้ช่วง
บ่าย บนสายการบินนี้ก็มีทั้งคนในประเทศและคนต่างประเทศอยู่บนเครื่อง
ก็มีผู้โดยสารคนหนึ่งแต่งกายค่อนข้างจะเรียกว่าดีมาก
เป็นชายฝรั่งวัยกลางคนซึ่งไว้หนวดเครา
พอควรโดยสารมากับเครื่องบินลำนี้ด้วย
ผู้โดยสารคนนี้หลังจากลงจากเครื่อง
ก็เข้าสู่พิธีการตรวจคนเข้าเมืองเหมือนคนอื่น ๆ
ชายผู้นี้ดูเหมือนกับว่ามาที่ประเทศญี่ปุ่นด้วยเจตนาที่จะมาติดต่อ
ธุรกิจบางอย่าง มีสัมภาระและกระเป๋าหนังเหมือนกับนักธุรกิจทั่ว ๆ
ไปที่เห็นกัน ภาษาพูดของชายผู้นี้เป็นภาษาฝรั่งเศษ
แต่ดูเหมือนกับว่าชายผู้นี้จะสามารถพูดภาษาอื่น ๆ ได้บ้างพอควร
รวมทั้งภาษาญี่ปุ่นเองด้วย เขาบอกกับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองว่า
เขามาที่นี่เพื่อทำธุรกิจ ก็ดูจากท่าทางการแต่งกาย
การถือกระเป๋าของเขามันก็น่าจะเป็นเช่นนั้น
แต่มันไม่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าหลังจากที่ชายคนนี้ยื่นพาสปอร์ตของ
เขาให้กับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองแล้ว
ชายผู้นี้เดินทางผ่านเข้าออกหลายประเทศทีเดียวจากการ
ประทับตราในหนัังสือเดินทาง
เฉพาะที่ญี่ปุ่นนี้ปีนี้เดินทางเข้าออกมาสามครั้งแล้ว
หนังสือเดินทางเล่มนี้ดูแล้วเป็นหนังสือเดินทางเล่มจริงไม่น่าจะเป็น
หนังสือเดินทางที่ปลอมขึ้น
แต่ว่าประเทศต้นทางของเขาหรือประเทศของเขาเองนั้น
กลับเป็นประเทศที่ทางเจ้าหน้าทีตรวจคนเข้าเมืองของญี่ปุ่นไม่เคยรู้
จักหรือได้ยินชื่อมาก่อน มันระบุว่าเป็นประเทศที่ชื่อว่า Taured
ด้วยความสงสัย ชายผู้นี้
ทางเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองก็ดำเนินการส่งชายผู้นี้เข้าไปยังห้อง
เพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
ในห้องสอบปากคำ
ชายผู้นี้แสดงสกุลเงินธนบัตรของประเทศ Taured ให้ดู
ซึ่งมันพิจารณาดูแล้วก็น่าจะเป็นธนบัตรฉบับจริง
ไม่ใช่ธนบัตรปลอมแต่อย่างใด น่าสงสัย
เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองยื่นแผนที่โลกให้ชายผู้นี้
เพื่อให้ชี้ถึงประเทศของเขาเองที่กล่าวอ้างถึง คือประเทศ Taured
ว่ามันอยู่ตรงไหนของโ่ลกใบนี้
ชายคนนี้ชี้นิ้วไปยังพรมแดนระหว่างประเทศสเปนกับประเทศ
ฝรั่งเศษ แล้วบอกว่าประเทศของเขาอยู่ตรงจุดนี้
จุดที่ชายผู้นี้ชี้ลงไปแท้จริงแ่ล้วเป็นเขตแดนที่อยู่ในประเทศสเปน
น่าจะอยู่ในแคว้น คาตาลัน เมือง อันดอร์ร่า
ชายผู้นี้กล่าวต่อไปว่าประเทศของเขานี้มีประวัติศาสตร์ยาวนานร่วม
พันปี ไม่น่าเป็นไปได้ว่าพวกคุณจะไม่รู้จักหรือไม่เคยได้ยินชื่อ
ซึ่งเขาก็เดินทางเข้า ๆ ออก ๆ ญี่ปุ่นมาหลายครั้งแล้ว
ทั้งปีนี้ก็สามครั้งแล้วก็ในรอบห้าปีที่ผ่านมาก็หลายครั้งซึ่งก็ไม่เห็นจะ
มีปัญหาอะไรเลย
เขายังให้ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทในญี่ปุ่นที่เขาจะมาทำธุรกิจด้วยรวม
ทั้งโรงแรมที่พักที่ได้จองเอาไว้
จากการตรวจสอบแล้วบริษัทในญี่ปุ่นที่ชายผู้นี้กล่าวอ้างว่าจะเ้ข้ามา
ทำธุรกิจด้วยไม่ปรากฎชื่อว่ามีตัวตนอยู่จริง
โรงแรมที่เขากล่าวอ้างว่าได้ทำการจองไว้แล้ว
ตรวจสอบแล้วไม่ปรากฎชื่อว่าชายผู้นี้ได้จองที่พักไว้
ชายผู้นี้โมโหมากกับเรื่องนี้
คิดว่าทางเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของญี่ปุ่นคงจะมีมุขตลกอะไร
บางอย่างกับเขาอย่างแน่นอน
ก็ด้วยคำให้การแปลก ๆ เอกสารแปลก ๆ
ธนบัตรและเอกสารส่วนตัวอื่น ๆ เช่นหนังสือเดินทางที่ดูแปลก ๆ
ทำให้ทางตรวจคนเข้าเมืองประเทศญี่ปุ่น
ไม่สามารถปล่อยชายคนนี้ให้ไปได้ง่าย ๆ
ชายผู้นี้ถูกควบคุมตัวไว้เพื่อการสอบปากคำจากเจ้าหน้าที่ระดับสูง
อีกครั้ง ก็คือจัดหาที่พักห้องสวีตให้ที่ชั้น 6 ของโรงแรมในสนามบิน
ทั้งนี้จำเป็นต้องดูแลความปลอดภัยให้ด้วย
คือมีเ้จ้าหน้าที่สองคนยืนอยู่หน้าห้องคอยเฝ้าไว้
ไม่ให้ชายผู้นี้ไปไหนที่อื่นได้
เอกสารทั้งหมดของชายผู้นี้ถูกทางตรวจคนเข้าเมืองยึดไว้
ตรวจสอบอย่างละเอียดอีกที
ห้องที่จัดให้ชายผู้นี้พักไม่มีระเบียงภายนอกแต่อย่างใด
วันรุ่งขึ้นเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้ามา
มาเคาะประตูเพื่อนำัตัวชายผู้นี้ไปสอบปากคำต่อ
ปรากฎว่าประตูนี้ไม่มีคนเปิดออกมา ก็ไขประตูห้องเข้าไป
สิ่งที่เจ้าหน้าที่เจอคือ ไม่มีชายผู้นี้อยู่ในห้องห้องนี้แล้ว
ไม่มีร่องรอยการหลบหนีและก็คงเป็นไปไม่ได้ว่าชายผู้นี้จะหลบหนี
ออกไปจากห้องห้องนี้ที่ไม่ระเบียงและอยู่ชั้นหก
รวมทั้งยังมีเจ้าหน้าที่อีกสองคนยืนเฝ้าอยู่ตลอดเวลา
สัมภาระทุกอย่างของเขาหายไปพร้อมกับเขาด้วย
เจ้าหน้าที่ที่รับหน้าที่เฝ้าชายผู้นี้
ถูกตำหนิอย่างรุนแรงจากเจ้าหน้าที่ระดับสูง
ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบเฝ้าหน้าห้องชายผู้นี้ก็ยืนยันอย่าง
หนักแน่นว่าก็ได้เฝ้าชายผู้นี้อยู่หน้าห้องตลอดไม่ได้ไปไหน
และชายผู้นี้ก็ไม่ได้เดินออกมาข้างนอกห้อง
หรือมีใครอื่นเข้าไปในห้องแต่อย่างใด
แต่ความแปลกอีกอย่างที่พิสูจน์ว่าเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบเฝ้าหน้า
ห้องชายลึกลับคนนี้ไม่ได้พูดโกหกก็คือ
เอกสารทุกอย่างของชายผู้นี้ที่ถูกทางเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองยึด
ไว้ก่อนและเก็บไว้เป็นอย่างดีในห้องรักษาความปลอดภัย
หายไปด้วย หายไปทุกอย่างไม่มีอะไรเหลือ
และชายผู้นี้สุดท้ายไม่มีผู้คนภายนอกพบเห็นเขาอีกเลยตั้งแต่บัดนั้น